วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สโมสรสุขภาพ Slow Life


เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วมันก็ผ่านไปด้วยความโล่งใจ หลังจากไปออกรายการทีวีสโมสรสุขภาพ slow life มาเรียบร้อยแล้วค่ะ เมื่อวันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน 2553

การไปออกทีวีมิใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเราต้องไปอยู่หน้าจอ ไปแสดงตัว ไปแสดงคำพูดคำจาให้กับผู้ชมผู้ฟังหน้าจอโทรทัศน์ ทำให้นึกห่วงว่าเราจะให้สาระประโยชน์อะไรได้บ้างกับผู้ชม สุดท้ายอีกภารกิจหนึ่งของชีวิตก็ผ่านพ้นไป การทำงานกับคนหมู่มาก เพื่อนำเสนอความคิดความอ่านของตัวเองออกสู่สายตาสาธารณชนเป็นเรื่องที่ต้องคิดเยอะค่ะ เช่นเดียวกับการเขียนหนังสือ กว่าจะผลิตเป็นพ็อกเก็ตบุ๊คออกมาแต่ละเล่ม โอย..บางทีนั่งเป็นวันกลั่นเป็นคำเขียนได้ไม่ถึง 20 บรรทัด หมดวันล้มตัวลงนอน หลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราว หมดแรงหมดพลังเพราะรีดงานจากสมองหนักหน่วงเหลือเกิน สิ่งที่จะเขียน จะพูด จะทำ ไม่ว่าจะแสดงออกทางสื่อที่ใดก็ตาม สิ่งนั้นก็จะตามตัวเราเป็นเงา เป็นนายเราไปตลอดชีวิต ดังนั้นการเก็บสะสมประสบการณ์ชีวิต เพิ่มพูนบทเรียนที่ควรรู้ เสริมสร้างความรู้รอบให้กับตัวเองในแต่ละวัน จึงเป็นเรื่องสำคัญค่ะ เขาบอกว่า ชีวิตรายวันของเรา จะมีค่ามากขึ้น ถ้าเรารู้จักเพิ่มค่าให้กับมัน
ก่อนที่จะมาพบสูตรความสุข ด้วยการใช้ชีวิต Slow Life เบรคตัวจากชีวิตเร่งด่วนที่เคยทำงานออฟฟิศ มาทำงานที่เป็นนายของตัวเอง ฉันก็คิดว่าตัวเองเป็นคนรู้รอบ ชอบอ่าน ชอบฟัง ติดตามข่าวสาร ค้นคว้าข้อมูลไม่ขาด เพิ่งมารู้ตัวว่าคิดผิดก็ตอนที่ออกจากงานแล้วมานั่งสร้างงานอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องพบเจอผู้คน ไม่ต้องประสานงากับปัญหาร้อยแปด เมื่อชีวิตไม่ยุ่ง สมาธิก็เกิด สติก็มา ปัญญาก็ตาม เพราะการอ่าน เขียน ติดตาม ค้นคว้า เอาสาระจากสื่อต่างๆ มันมีความละเมียดละไมมากขึ้น ข้อมูลที่อ่านที่ดู ถูกสติกำหนดให้รู้แจ้ง กลายเป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่รู้ผิวเผินดิ่งไปตามกระแสอย่างที่เขาโปรยหัวไว้ หากไม่เข้าใจก็ค้นให้ลึกอีก หรือไม่ก็ร้องถามจากผู้รู้ เก็บตกสัมภาษณ์เอาจากผู้มากประสบการณ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ฉันรู้จริงมากขึ้น ทีนี้เวลาจะลุกขึ้นมาคิดอ่านทำอะไร เมื่อข้อมูลมันมีอยู่เพียบพร้อม บวกกับสติของตัวเองที่มีอยู่เต็มรอบ ผลผลิตที่เกิดจึงไม่พร่อง



ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ อยากได้คะแนนดีต้องทำการบ้านค่ะ เวลาในแต่ละวันแป๊บๆ เดี๋ยวก็หมดไป ไหนจะต้องจัดเวลาทำงาน เวลากิน เวลาพักผ่อน เวลาคลายใจ เวลาให้เพื่อน เวลาให้ครอบครัว โอย...สารพัด เห็นมั้ยคะว่าเวลาไม่ได้มีไว้ให้ฆ่าทิ้ง แต่มีไว้ให้เราเพิ่มพูนปัญญา แล้วปัญญาจะเกิดจากไหน มันก็ต้องลากไปที่เหตุเหมือนที่บอกไว้ข้างต้น ทำสติให้เกิด ลากสมาธิให้มา ทำใจให้จดจ่อกับสิ่งที่ทำ ไม่เอาอารมณ์นำทางชีวิต ไม่ปรุงแต่งจิตให้ฟุ้งซ่าน เหล่านี้คือสิ่งที่จะทำให้ชีวิตเรา slow down ลงได้
หลายคนถามว่า Slow LIfe ทำได้จริงหรือ ไม่ทำงานแล้วจะหาเลี้ยงชีวิตได้อย่างไร แล้วภาระที่หนักอึ้งล่ะ จะละ จะวาง จะจัดการยังไง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ... อยากจะบอกว่าทุกอย่างล้วนต้องทำการบ้าน และให้เวลากับผลผลิตที่จะตกผลึกออกมา ตั้งโจทย์ชีวิตของตัวเองให้เจอ แล้วคิดวิเคราะห์ให้ดี ทำการบ้านให้หนัก สุดท้ายเราก็จะตอบโจทย์ที่ตัวเองตั้งได้ ระหว่างทางที่กำลังทำการบ้านเพื่อตอบโจทย์ อาจต้องเปลี่ยนแปลงความคิด เปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต และการเปลี่ยนแปลงก็ต้องอาศัยเวลา .. การคิดใหม่ทำใหม่ ลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนชีวิตตัวเอง สิ่งดังกล่าวนี้ คุณพร้อมที่จะเผชิญกับมันหรือเปล่า ความวิตกกังวล คิดกลัวกับการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ปรุงแต่งจิตให้ทุกข์หนัก คิดฟุ้งไปเรื่อย คืออุปสรรคที่จะทำให้ชีวิตอยู่ในโหมดโลว์สปีดได้ ค่อยๆ ไล่ความฟุ้งออกจากความคิดกันนะคะ เอาธรรมะมาเป็นเครื่องมือในการนำทางชีวิต แค่ลุกขึ้นมาหายใจเข้าออกยาวๆ แค่นี้ก็สามารถนำสมาธิให้ก่อเกิดกับตัวได้แล้ว และหากทำมากกว่านั้นล่ะ ทำเพิ่มขึ้นอีกล่ะ สติไม่เกิดกับตัวก็ให้มันรู้ไป
อย่ากลัวกับการเปลี่ยนแปลงค่ะ ชีวิต Slow Life คือชีวิตที่ทำใจให้สงบนิ่ง และจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราคิดเราทำ หากอยากได้ชีวิตที่ดีกว่าเดิม ก็ต้องปรับวินัยให้กับตัวเองเพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น บอกแล้วค่ะว่าไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ โดยไม่คิดอ่าน ไม่เตรียมการ และไม่ทำการบ้าน